Wednesday, October 2, 2013

** Japan 2013 ** Day 5 : ตอน 2 เที่ยว Kanazawa ต่อ & ไปพักบ้านชาวนา Shirakawago


21st Century Museum & Color activity house
จุดแรกที่แวะเที่ยวคือ 21st Century Museum of Art Museum จุดลงป้ายหมายเลข 9 ของรถ Loop Bus

มาเที่ยวญี่ปุ่นทีไรต้องพาขนมปังกับเนยมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อย่างน้อยที่นึงทุกครั้ง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่รวมงานศิลปทั้งจากศิลปินญี่ปุ่นและทั่วโลก หมุนเวียนมาแสดงให้ชม ด้านนอกจะเป็นการโชว์งานแบบถาวร ส่วนการแสดงงานศิลป์ภายในอาหารจะมีหมุนเวียนไปตลอดปี งานบางชิ้นเสียตังเข้าชม แต่แน่นอนเราเน้นดูของฟรีที่นี่

งานแสดงถาวรชิ้นแรกที่เห็นเด่นชัดคือ Color activity house เป็นแผ่นโปร่งแสงหลากสี ที่สีเปลี่ยนแปลงไปตามการทับซ้อนของสีที่แตกต่างกัน

ภายในอาคาร 21st Century Museum
จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือ การออกแบบอาหารที่เป็นทรงกลม ตัวอาคารสีขาวโปร่งไม่มีผนังและทางเข้าหลัก คือเดินเข้าทางไหนก็ได้ แต่ละทางก็จะไปเป็นโถงทางเดินวงโค้งรอบตัวอาคาร ที่ตรงกลางเป็นโถงกระจกใหญ่ เป็นพื้นที่โปร่งแสดงงานศิลป์ The swimming pool

Wrapping
งานศิลป์ภายนอกมักเป็นที่ถูกใจเของเด็กเช่นชิ้นนี้ชื่อ Wrapping เป็นโครงสร้างท่อทรงเหลี่ยมและตาข่ายเหล็ก ถูกใจเด็กๆในการปีนป่ายวิ่งเข้าออก

People's Gallery
People's Gallery เป็นงานศิลปภาพลายดอกไม้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลายกิโมโน ลายถูกพิมพ์ทั้งบนกำแพงและเก้าอี้ มองตรงไปจะเห็น The man who measures the cloud

The swimming pool
The swimming pool ที่คนนิยมมาชมกัน ด้านบนดูเหมือนสระน้ำ แต่ด้านล่างเป็นช่องว่างคนเดินเข้าไปได้มองขึ้นมาเหมือนอยู่ใต้น้ำ ดูข้างบนฟรี แต่ถ้าลงไปดูข้างล่างเสียตัง 350Y

The man who measures the cloud.
งานชิ้น The man who measures the clound ตั้งอยู่บนยอดอาคาร ศิลปินได้รับแรงบัลดาลใจมาจากหนังที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงเรื่อง Birdman of Alcatraz ที่กล่าวถึงประวัติของ โรเบิร์ต สเทราด์ ชายที่ถูกขังในห้องขังที่เกาะ Alcatraz

นายสเทราด์ถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต อยู่มาวันนึงก็พบนกบาดเจ็บในเรือนจำ จึงนำมารักษาเลี้ยงดู หลังจากนั้นก็มีนกมาให้ทั้งรักษาและเลี้ยงดูเองเป็นจำนวนมาก นายสเทราด์จึงทำการศึกษาวิจัยโรคของนกจนกระทั่งสามารถแต่งตำราเกี่ยวกับโรคของนกออกมาขายภายนอกได้ ได้รับการยอมรับจากนักวิชากรเป็นอย่างมาก อยู่มาวันนึงนายสเทราด์ถูกย้ายไปคุมขังที่เกาะอัลคาทลาส ซึ่งถูกห้ามไม่ให้เลี้ยงนก อดทำงานวิจัยต่อไปได้ ซึ่งเป็นที่มาของชื่องานปติมากรรมชิ้นนี้ เมื่อมีคนถามแผนการในอนาคต นายสเทราด์ตอบว่า "ผมจะไปวัดก้อนเมฆ"

ด้านข้างที่เป็นต้นไม้ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นการจัดสวนแนวตั้งธรรมดา แต่พอมาอ่านในเว็บของพิพิธภัณฑ์ ถึงรู้ว่าเป็นงานศิลปอีกชิ้น ชื่อว่า Green Bridge เป็นพันธ์ไม้มากกว่า 100 ชนิดในแถบคานาซาวะปลูกบนกำแพงแล้วก็โค้งโอบรอบระเบียงทางเดิน

ความจริงที่พิพิธภัณฑ์นี้มีจุดน่าสนใจคือ จุดขายของที่ระลึก จะเลือกเอาของที่ออกแบบสวยๆ น่าสนใจมาวางขายหลายชิ้น ที่เราใช้เวลาเลือกดูนานที่สุดน่าจะเป็นจุดขาย Origami หรือ กระดาษพับญี่ปุ่น มีทั้งหนังสือคู่มือ วีดีโอ ตัวกระดาษที่ออกแบบมาเป็นรูปสิสาราสัตว์ต่างๆมากมาย แค่เดินดูอย่างเดียวก็เพลิดเพลินแล้ว โงะริงามิถือเป็นงานศิลปะอย่างนึงของญี่ปุ่นเลยทีเดียว เสียดายห้ามถ่ายรูป


ด้านนอกตลาด Omicho
ใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์ราว 2 ชั่วโมงก็เดินทางต่อไปยังตลาด Omicho ป้ายหมายเลข 18 ใช้เวลาเดินทางนานหน่อยสัก 15-20 นาที ช่วงนี้ผ่านเข้าไปในย่านใจกลางเมืองมีห้างร้านเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป

ตลาด Omicho เป็นตลาดสดดั้งเดิมของคานาซาวะ ปัจจุบันมีการปรับปรุงจนดูเหมือนตลาดสดทั่วไป ตลาด Omicho มักเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาแวะชิมอาหารสด เช่น ซูชิ หรือ อาหารทะเล

ด้านในตลาด Omicho
ภายในตลาดก็สะอาดน่าเดิน ตัวตลาดมีขนาดไม่ใหญ่นัก ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของสดพวกอาหารทะเลหลายร้าน ลูกค้าสามารถนั่งทานหรือยืนทานที่ร้านได้เลย นอกจากอาหารสดแล้วก็มีร้านขายของแห้งเครื่องประกอบอาหาร มีร้านนึงน่าสนใจมากมีสาเกขายทั้งร้าน ใช้เวลาเดินสัก 20 นาทีก็ทั่ว ที่ตลาดนี้เราแวะซื้อเอ็นหอย ไว้ใส่หุงปนไปกับข้าว อร่อยดี

นั่งรถไป Shirakawago
จากตลาดก็นั่งรถ Loop Bus ต่อไปเพื่อมาลงสถานีปลายทาง คือ สถานี Kanasawa นั่นเอง จัดการไปเอากระเป๋าออกจาก Locker ที่ฝากไว้ก่อนออกไปเที่ยวกันเมื่อเช้า จัดการซื้อตั๋วรถบัส ไปยัง Shirakawago ที่หมายถัดไปกัน ก่อนจากเมืองก็ได้ชื่นชมความงามของสถานีนี้อีกรอบนึง ที่สถานีรถยังมีการตบแต่งที่สวยงาม ก็ขอยืนยันคำกล่าวขวัญถึงว่าสถานีรถไฟ ของเมืองนี้เป็นที่ที่สวยงาน ดังว่าจริงๆ

เพิ่มคำอธิบายภาพ

ระยะทางระหว่างเมือง Kanasawa – Shirakawago นั้นก็อยู่ประมาณ 1 ชม.กว่าๆ ก็ถึงที่หมู่บ้านชาวนา กว่าจะถึงก็เลยไป 5 โมงกว่าไปแล้ว พอไปถึงก็เห็นถึงความน่าอยู่ของหมู่บ้านนี้ทีเดียว เป็นหมู่บ้านชาวนาโบราณ ที่เก็บรักษารูปแบบเดิมไว้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบ้าน วิธีการสร้างบ้านและมุงหลังคา แถมยังคงมีชาวบ้านที่ยังยึดอาชีพชาวนาอยู่อีกด้วย

ทางเข้าหมู่บ้าน
เมื่อมาถึงที่หมายของวันคือ Shirakawago ที่ยอดนิยมอีกที่หนึ่งของนักท่องเที่ยว เป็นหมู่บ้านโบราณที่อนุรักษ์บ้านสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาก

ความนิยมดูง่ายๆจากจำนวนภาษาของแผนที่หมู่บ้านที่แจกจ่ายแก่นักท่องเที่ยว นับๆ ไปคร่าวๆ น่าจะร่วม 10 ภาษา รวมภาษาไทยด้วย นักท่องเที่ยวเลือกกันไปตามชอบ แต่ในที่สุดเราก็พบว่าภาษาที่ดีที่สุดที่ควรถือติดมือคือ ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาอังกฤษ เพราะ ตามสถานที่ต่างๆนั้น ป้ายร้าน 100% เป็นภาษาญี่ปุ่น และ อาจจะมีภาษาอังกฤษเพิ่มมาให้อีก 1 ภาษา เพราะฉะนั้นถึงมีภาษาอื่นไว้ แต่เวลาหาที่หมายไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องถ้าไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น

สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ Shokawa เข้าหมู่บ้าน วันไร้คน
คืนนี้ ป่ะป๊า จัดให้พวกเรานอนกันที่บ้านชาวนา ขนานแท้ ว่ากันไปแล้ว จุดกำเนิดของทริปนี้ ที่เริ่มวางแผน เริ่มจากการเห็นภาพของบ้านชาวนาแห่งนี้นี่แหละ ที่อยากมาที่สุด จนเกิดเป็นเส้นทางเที่ยวญี่ปุ่นของเราในปีนี้

เรามาถึงตอนเย็นวันพุธ เป็นวันธรรมดาที่คนมาเที่ยวไม่ค่อยเยอะ แล้วการเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ต้องใช้รถบัสเท่านั้น รถบัสที่มาส่งเราที่หมู่บ้านก็เป็นคันสุดท้ายของวัน เมื่อรถบัสที่แวะส่งคนลงก็จะมุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Takayama ที่เราจะไปพรุ่งนี้ เมื่อรถคันสุดท้ายออกไปเมืองก็เงียบไร้ผู้คน สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ Shokawa ที่ปกติจะพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวก็ปราศจากผู้คน สามารถถ่ายรูปได้โดยไม่มีผู้คนมาบดบัง

หลังคา Gassho
หมู่บ้านที่เรามาพักชื่อ Ogimachi ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ Shirakawago

ชื่อเสียงของหมู่บ้านเกิดขึ้นมาจากบ้านชาวนาที่เรียกว่า Gassho-zukuri ซึ่งแปลว่า "สร้างเหมือนพนมมือสวด" หลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าหรือฟางข้าวแห้ง ที่ถักซ้อนกันแน่นหนาโดยไม่ใช้ตะปูเลย ความหนาไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ทำมุมสูงชัน ด้วยพื้นที่นี้เป็นหุบเขาที่มีหิมะตกหนักทำหิมะไหลตกลงมาไม่ท้อนซับบนหลังคา

ทางเดินไปที่พัก
หลังจากเดินเล่นในหมู่บ้านที่ร้างปราศจากนักท่องเที่ยวและผู้คนสักพัก เราก็เดินมุ่งหน้าหาที่พักของเราคืนนี้กัน

Shimizu
จากสะพานข้ามแม่น้ำเข้าหมู่บ้านใช้เวลาเดินสัก 20 นาทีก็มาถึงเรียวกัง บ้านชาวนาที่เรามาพักชื่อว่า Shimizu เป็นบ้านสไตร์ Gassho-zukuri เป็นบ้านชาวนาที่อยู่ปลายสุดของหมู่บ้าน ที่สามารถเดินไปได้ จากสถานีที่ลงรถทัวร์ ลักษณะเป็นบ้านของชาวนาที่เปิดห้องพักด้านล่าง 2 ห้อง เป็นที่พักแขก ส่วนด้านบนเป็นที่พักของเจ้าของบ้าน บ้านนี้เปิดให้แขกพักได้ครั้งละไม่เกิน 2 ครอบครัว หรือ ครอบครัวหนึ่งไม่เกิน 4 คน เท่านั้น

พื้นที่กินข้าวแบบบ้านๆ
เนื่องจากห้องพักเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ มาก มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ รวม แยกต่างหาก มีบริการอาหารเย็น และอาหารเช้า พร้อมกับที่พัก ฝีมือเจ้าของบ้าน หรือ ผู้ดูแลที่พัก เป็นผู้หญิง 1 คน และผู้ชาย 1 คน ที่เราคิดว่าเค้าเป็นสามี ภรรยากัน ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ไม่ได้ถามเค้าซะด้วย

โถงกลางบ้านเป็นที่นั่งกินข้าว กลางบ้านเป็นหลุมทราย ทำไว้เป็นเตาทั้งสำหรับต้มน้ำ หรือย่างอาหาร เรียก irori ความร้อนจะลอยสูงขึ้นด้านบนทำให้ตัวบ้านอบอุ่นไปด้วยในตัว

ประตูห้องนอน
พอดีห้องที่เราได้พักอยู่ฝั่งทางด้านที่เปิดประตูด้านข้างออกไปก็เจอกับ นา เขา และเสียงน้ำจากภูเขา ที่ไหลลงมาตามรางเสียงดังจ๊อกๆๆๆ ตลอดเวลา ถือเป็นบรรยากาศที่ Perfect สุดๆ เลยทีเดียว อากาศก็จัดว่าค่อนข้างดี เย็นจัดเกือบๆหนาว แต่ก็ยังพอสบายๆ ไปถึงที่พักยังไม่ใช่เวลาอาหาร พวกเราเลยพากันไปเดินเล่นๆ รอบๆบ้านและบริเวณใกล้คียง

บริเวณบ้านมีบ้านอีกเพียง 1-2 หลังที่ใกล้กัน ทำให้ไม่มีคนพลุกพล่านเรียกว่าไม่เห็นคนเลยดีกว่า รอบๆเป็นที่นา แปลงเพาะปลูกพืชผักของชาวบ้านแถวนั้น

พ่อครัวเตรียมอาหาร
ระว่างเดินกลับบ้านเพื่อไปกินอาหารเย็นที่บ้าน ก็ได้กลิ่นอาหารของเราโชยมาจากบ้านพัก แถมเห็นผู้ชาย ที่คาดว่าเป็นสามีบ้านชาวนา ออกมาเพื่อมาถอนต้นหอมที่ปลูกไว้ข้างๆบ้าน เพื่อไปใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารเย็นมื้อนี้ให้เรา ก็ยิ่งรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้คงอร่อย สด แน่ๆ

Dinner
รออีกไม่นาน เจ้าของบ้านก็เชิญเรามาทานอาหารเย็น อาหารมื้อนี้ มีทั้ง เนื้อวัวแสนนุ่ม ซุปผักสไตล์ญี่ปุ่น หมูสามชั้นตุ๋นกับผัก สลัด และปลาที่เป็น Side dish ส่วนที่ขาดไม่ได้คือข้าวญี่ปุ่นนุ่ม ร้อน หอมซะ อยากกินเท่าไหร่ก็ได้กินได้ไม่อั้น ส่วนของขนมปัง-เนย เป็น ข้าวสวย ผงโรยข้าว หมูชุบแป้งขนมปังทอด และซุปผัก ปรากฎว่า อร่อยจริงๆดังคาด จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง อิ่มอร่อย กันไป ส่วนปะป๊าดูเหมือนขาดอะไรไปอย่าง เลยลองเดินไปเปิดตู้เย็น ปรากฏว่าแจ็คพอต ตู้เย็นอัดแน่นไปด้วย Asahi เลยจัดการอุดหนุนชาวนาสักหน่อย

มิตรระหว่างเดินทาง
วันนี้ที่เราพัก เพื่อนข้างห้องของเราเป็น สามี-ภรรยา ลุงเอียนกับป้าแมรี่ ชาว Canada ที่มาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และท่องเที่ยวไปในหลายๆที่ สามีเป็นสถาปนิก ก็เลยมีเพื่อนคุยกันสนุกไป ป้าแมรี่มีของที่ระลึกมาฝากแฝดทั้งสองคนด้วยเป็นเข็มกลัดรูปธงชาติแคนาดา เป็นอีกไมตรีที่เราได้พบระหว่างการเดินทางในทริปนี้ ความรู้สึกที่ได้พักที่นี่ เหมือนไปพักบ้านญาติ ยังไงยังงั้น ที่นอนก็เป็นแบบเรียวกัง คือเป็นฟูกปูกับพื้น เป็นลายๆ ไม่ใช่สีขาวเหมือนตามเรียวกังอื่นๆ ได้บรรยากาศบ้านๆ เพิ่มไปอีก

วิวจากห้องนอน ก่อนมืด
ก่อนนอน เปิดประตูเลื่อนก็จะเห็นภูเขาและทุ่งนา ออกมานั่งจิบสาเกตรงชานหน้าห้องนอน พร้อมฟังเสียงน้ำลำธารเล็กๆไหล ด้านนอก อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนกลับเข้านอนด้วยความสุขอีกวัน

ที่พัก

Shimizuinn จองที่พักผ่านเว็บ ส่ง e-mail ไปติดต่อเจ้าของโดยตรง อาจต้องจองล่วงหน้านานหน่อย
http://www.shimizuinn.com/
Price: 8,400Y ต่อหัว รวมอาหารเช้าและเย็น


Shimizuinn
หลังบ้าน

การเดินทาง

Kanazawa -- Shirakawago
รถบัส Nohi จุดขายตั๋วตรงตึกติดกับ JR Kanazawa station จุดขึ้นก็อยู่หน้าสถานีรถไฟ
ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงกว่า
Price: 1800Y

ตั๋ว
Niho Bus

ข้อมูลเพิ่มเติม

Map of Higashi Chaya: http://www.eyeon.jp/experience/higashi_chayagai.html
Shirakawago Map: http://www.shirakawa-go.gr.jp/othercontents/file/pdf/map_english.pdf
ที่พักใน Shirakawago: http://www.japaneseguesthouses.com/db/shirakawago/index.htm

ตอนต่อไป

** Japan 2013 ** Day 6 : ตอน 1 เที่ยวรอบหมู่บ้านชาวนา
Shirakawago

ตอนเดิม

** Japan 2013 ** Day 3 : ตอน 2 เที่ยววัดที่ Nagano กลับ Matsumoto

** Japan 2013 ** Day 5 : ตอน 1 เที่ยว Kanazawa ชม Higashi Chaya & เที่ยว Kenrokuen สวน 1 ใน 3 สวนสวยที่สุดในญี่ปุ่น

Photoblog

Bunnan's Photoblog@Kanazawa

No comments:

Post a Comment