Monday, September 30, 2013

*** JAPAN 2013 ** Day 3 : ตอนที่ 1 (อด) ดู ลิงแช่ออนเซ็น หรือ Snow Monkey ที่ Jigokudani Monkey Park

ดอกไม้บนทางเดินขึ้นวัดในเมือง Shibu Onsen

ตอนเช้า ตื่นขึ้นมาตามเวลาตอนเช้า เพราะมีโปรแกรมต่อทั้งวัน เริ่มกันด้วยอาบน้ำแช่ออนเซ็นของโรงแรมดีกว่า เพราะไม่ปลื้มบ่อสาธารณะด้านนอก ก็แช่แป๊บๆ เพราะเวลาไม่ค่อยเอื้อ ป่ะป๊าไปกับน้องขนมปัง ส่วนหม่าม๊าไปกับน้องเนย

Breakfast อเมริกันผสมญี่ปุ่น

เสร็จสรรพ มานั่งกินมื้อเช้าแบบญี่ปุ่น อีกรอบ แต่ Set Meal ที่นี่ เป็นแบบ Japanese-American Meal คือ เป็นอาหารญี่ปุ่นที่ผสมผสานรสชาติแบบตะวันตกไปด้วย เช่น ไข่กระทะกับชีส ประมาณนั้น แต่ก็อร่อยพอประมาณ

หลังเสร็จจากอาหารเช้า ทางโรงแรมเตรียมรถ เพื่อ ไปเที่ยวดู “ลิงแช่ออนเซ็น” แต่ทางโรงแรมแจ้งเราเบื้องต้นแล้วว่าเราอาจไม่เจอลิงวันนี้ เพราะ ช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูผสมพันธ์ ของลิง แต่อย่างไรก็ตามให้ลองไปดูละกันเผื่อจะโชคดีได้เห็นบ้าง ไหนๆ ก็มาไกลถึงที่นี่แล้ว ยังไงก็คงต้องไป

เมือง Shibu Onsen
ช่วงระหว่างรอขึ้นรถ มีโอกาสเดนดูเมืองตอนสว่าง ตรงกลางเมืองเป็นถนนแคบๆ ที่ทั้งรถและคนใช้เดินไปมา รถที่วิ่งก็เป็นแบบคันเล็กกระทัดรัด


บ่อแช่ออนเซ็นเท้าฟรีในเมือง

ฐานรูปปั้นบนยอดเนินในเมือง Shibu Onsen
ตรงกลางเมืองมีศาลเจ้า พร้อมที่แช่เท้าออนเซ็นสาธารณะ สำหรับคนที่แวะมาเที่ยวแปบเดียว ฝั่งตรงข้ามเป็นบันไดขึ้นเขาไป บนเขามีวัดและรูปปั้นสไตร์ญี่ปุ่น


ลานจอดรถ ก่อนทางเดินเข้าไปสู่ Park
เราเดินทางไปพร้อมกับคู่สามีภรรยาจาก Michigan USA ที่พักที่เดียวกันและร่วมเดินทางไปดูลิงด้วยกัน ส่วนกระเป๋าทางโรงแรมจะเอาไปฝากรอไว้ที่สถานี Yudanaka ไปเที่ยวตัวเปล่าได้ รถโรงแรมมาส่งถึงทางเข้าลานจอดรถของ Park ส่วนการไปสถานี Yudanaka หาทางไปเอง แต่เค้าก็แนะนำให้ขึ้น Taxi ที่มีจอดรอที่ลานจอดรถ

ทางเดินเข้าไปสู่ Jigokudani Monkey Park
ทางเดินไปสู่สวนเลาะไปตามเนินเขาและผ่านแม่น้ำ ก่อนเข้าสู่ทางเข้าที่ต้องเสียค่าผ่านทาง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงจนรู้สึกได้แม้ว่าแดดจะออกแล้ว

บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ
บางช่วงผ่านบ่อน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาจากรอยแยกของหินริมแม่น้ำ ล้อมบริเวณกันคนเข้าไปเล่น ลองเข้าไปดูใกล้ ปรากฏว่าน้ำร้อนจัดเลย

ช่วงสุดท้ายก่อนเข้าสู่ด่านเสียเงิน
Jigokudani Monkey Park เป็นสถานที่มีชื่อเสียงของนากาโน เนื่องจากเป็นสวนแห่งเดียวในโลกที่มีลิงแช่น้ำร้อน หรือ Monkey Onsen ลิงที่นี่เรียนรู้การแช่ออนเซ็นในช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะตกปกคลุมเป็นเวลานานในพื้นที่เขตนี้ ความจริงแต่แรก ลิงยังไม่รู้จักการแช่บ่อออนเซ็น แต่เป็นเพราะระหว่างที่รอให้อาหาร มีลิงบางตัวเริ่มเรียนรู้การแช่บ่อน้ำร้อนช่วยแก้ความหนาวเย็นได้ ลิงที่เหลือค่อยๆทำตาม จนสุดท้ายก็ทำตามกันเกือบหมด ฟังดูแล้วก็เหมือนคนนิ

ร้านขายของที่ระลึกทางเข้าสวน
เมื่อไปถึงก็เป็นไปดังคาด ลิงมีธุระสำคัญ (กำลังหาคู่อยู่ในป่า) จึงไม่ว่างมาปรากฏตัวแม้ว่าทางสวนจะให้คนไปตามแล้ว เดินขึ้นไปไม่เห็นลิงเป็นๆซักตัว เห็นแต่คนที่ไปรอดูลิง แล้วก็รูปถ่ายลิง คนรอเต็มทางเข้า ทั้งจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น (และไทย อีก 4 คน) ผิดหวังกันหมด เดินไปมาซักพัก พอหอมปากหอมคอ น้องขนมปัง เนย ซื้้อของฝากติดมือเล็กๆน้อยพอเป็นพิธี

ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ตรงทางเข้า ตั้งอยู่บนยอดเขามองเห็นทิวทัศน์ในมุมสูงของเขตพื้นที่ทางเข้า Jigokudani Monkey Park ได้

ทางเดินกลับไปขึ้นรถเมล์
เดินกลับไปรอรถเพื่อกลับเข้าเมืองกันดีกว่า การเดินกลับ กลับไปอีกทางกับขามา ตอนโรงแรมมาส่งก็แนะนำว่าให้เดินกลับทางเดิมแล้วเรียก Taxi แต่เพื่อความประหยัดเราหาทางไปรถเมล์ดีกว่า


เจอแล้ว ลิงแช่ออนเซ็น
ทางกลับเลาะไปตามขอบเขาอีกทิศกับขามา มีทางเดินสะดวกกว่า ระหว่างทางเดินมาที่ป้ายรถเมล์ ที่ห่างจากจุดดูลิงราว 3 กม. แต่เป็นเส้นทางเดินสบายๆ ก็เดินกันเพลินๆ ดูนั่นนี่ไป แค่ ครึ่งชม.นิดๆ เราก็เดินมาถึงทางออก

ทาง (เข้า) ออก อีกทาง
ปัญหาต่อไปคือต้องหาป้ายรถเมล์ พอเดินออกมาจากทางออกก็ไม่เห็นวี่แววของ ป้ายรถเมล์เลย เป็นมุมถนนโล่งๆไม่มีบ้านคน เลยลองเดินลงมาเรื่อยตามถนนลงเนินเขา ระหว่างที่ป่ะป๊า ไปหาป้ายรถเมล์ แถวนั้นมีต้นเกาลัดด้วย เราพาขนมปัง เนย มาดูต้นเกาลัด และยังเห็นเม็ดเกาลัดตกอยู่บริเวณใต้ต้นหลายเม็ดอยู่ ขนมปัง เนย ก็ได้รู้จักกับต้นเกาลัด

เก็บเกาลัด
เพื่อเป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เลยชวนกันเก็บเกาลัด ผลเกาลัดที่มีหนามแหลมๆอยู่ด้านนอก เมื่อแก่จัดผลจะแตกออกเห็นเม็ดเกาลัดอยู่ด้านในเหมือนที่เราคุ้นเคยและซื้อกินอยู่นั่นแหละ เลยช่วยกันเก็บกันใหญ่เป็นที่สนุกสนาน

เวลาป้ายรถเมล์
กว่าที่ป่ะป๊าจะมาพาไปที่ป้ายรถเมล์ 3 คนแม่-ลูกก็เก็บได้ แยะพอควร ว่าไปให้ยายของหลานๆ คั่วให้กินที่เมืองไทย ป้ายรถเมล์อยู่ถัดลงมาจากทางออกเดินสัก 10 นาที มาถึงก็เห็นคู่สามีอเมริกันที่มาด้วยกันแต่แรกรอที่ป้ายรถพอดี คุยกันก็บอกว่ากำลังจะไปเที่ยวต่อเกียวโต เลยชวนมาเที่ยวเมืองไทยโอกาสหน้า ตอนดูเวลาที่ป้ายรถเมล์ก็ดูไม่ออก ต้องเดินไปถามลุงญี่ปุ่นที่นั่งอยู่แถวนั้น ใช้ภาษาใบ้อยู่นานกว่าจะเข้าใจกัน คันต่อไปที่จะมาเป็นเวลา 11.16

ต้องดึงตั๋ว ใช้บอกราคาตอนลง

เวลา 11.15 รถเมล์ก็โผล่ขึ้นเขามาตามเวลา จอดรอจนถึง 11.16 พอดีเป๊ะรถออก
ตอนขึ้นก็ดึงตั๋วเล็กๆ บอกหมายเลขของป้ายที่เราขึ้นมา ตอนลงก็ดูที่จอหน้ารถว่าตั๋วของเรา ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ รถจอดหน้าสถานี Yudanaka พอดี ทั้งรถมีคนขึ้นแค่สองครอบครัวเท่านั้น
สถานี Yudanaka
จุดหมายต่อไป คือ Nagano เพื่อไปวัด และเที่ยวชมเมืองซะหน่อย ที่พลาดไม่ได้ สำหรับเมืองนี้คือ โซบะ พริกป่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดของ โซบะ ของประเทศ เลยเชียวนะ พริกป่นที่นี่ก็ขึ้นชื่อเช่นกัน แต่ระหว่างรอรถไฟ ก็แวะไปซื้อแผงขายผลไม้ของชาวบ้านที่อยู่หน้าสถานีรถไฟ แอปเปิ้ลอร่อยมาก องุ่นก็ลูกโตๆราคาถูกมาก เป็นเสบียงไปกินบนรถไฟ

การเดินทาง

Jigokudani Monkey Park -- Yudanaka Station

จากป้ายรถ Kabayashi Onsen Bus Stop นั่งรถเมล์ราว 15 นาที
Price: 250Y

Yudanaka -- Nagano

Price: 1250Y ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง

ค่าเข้าชม

ค่าเข้าชมลิงแช่ออนเซ็น 500Y
Pantip Review: http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11963844/E11963844.html

ข้อมูลเพิ่มเติม

Jigokudani Monkey Park:
http://www.jigokudani-yaenkoen.co.jp/english/html/onsenmonkey.htm


ตอนต่อไป

** Japan 2013 ** Day 3 : ตอน 2 เที่ยววัดที่ Nagano กลับ Matsumoto
วัด Zenkoji

ตอนเดิม

** Japan 2013 ** Day 2 : ตอนที่ 2 หลัง Trekking โหด ก็ แช่ออนเซนต่อ ที่ Shibu Onsen แล้วไปรอดู Snow Mountain

** Japan 2013 ** Day 3 : ตอน 2 เที่ยววัดที่ Nagano กลับ Matsumoto

พระพุทธรูป วัด Zenkoji
จุดหมายต่อไป คือ Nagano เพื่อไปเที่ยววัดและเที่ยวชมเมืองซะหน่อย ที่พลาดไม่ได้ สำหรับเมืองนี้คือ โซบะ พริกป่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดของ โซบะของญี่ปุ่นเลยเชียวนะ พริกป่นที่นี่ก็ขึ้นชื่อเช่นกัน
รถไฟไป Nagano
การเดินทางจาก Yudanaka ก็นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่ Nagano ที่มาเมื่อคืน รถไฟนั่งสบายคนไม่เยอะ มากันหลายคนก็หันกลับด้านของที่นั่งเข้าหากันได้เอง จริงๆแล้วมันแค่โยกเบาะพิงเข้าตัวหรือออกนอกตัวเท่านั้น หาที่กดอยู่นาน
Nagaden Line
ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็กลับมาถึง Nagano - Nagaden Line พออกนอกสถานีก็เห็นญี่ปุ่นมุงกันซื้อผลไม้ ไทยเลยเข้าไปมุงซื้อบ้าง แต่ตอนจ่ายตังหาคนขายไม่เจอ ปรากฏว่าคนขายเป็นนายสถานี จ่ายเงินที่ตู้นายสถานีเลย
ปากทางเข้าวัด Zenkoji
จากสถานีรถไฟ นั่งรถเมล์มาสักพักก็ถึงวัด Zenkoji สังเกตไม่ยากทางเข้าวัดจะอยู่ตรงแยกหัวมุมถนนพอดี

Nimon Gate

วัด Zenkoji เป็นวัดพุทธที่สำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นวัดที่นำพระพุทธรูปมาประดิษฐานเป็นแห่งแรกของญี่ปุ่น เป็นวัดศูนย์กลางการเติบโตของเมืองนากาโน ที่ต่างจากเมืองอื่นที่มักเติบโตจากปราสาท

ประตูใหญ่ทางเข้าวัดเห็นมาแต่ไกล เรียกว่า Nimon Gate จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ผู้พิทักษ์ 2 ตนและมีรองเท้าหนีบขนาดใหญ่ แขวนตรงทางเข้าประตู
ทางเดินเข้าวัด
สองฝากทางเดินเข้าวัดเป็นร้านขายของ ขายอาหาร ตั้งอยู่ตั้งแต่ประตูใหญ่ (Nimon Gate) เข้ามาเรื่อยจนถึงตัววิหารของวัด มีของขายหลายอย่าง ของที่ระลึก และที่สำคัญคือ ไอติม

ร้านไอสครีม
ขนมยอดนิยม เกือบทุกแหล่งท่องเที่ยวของญี่ปุ่นคือ ไอสครีม ราคามาตรฐานปัจจุบันก็ 300Y บางที่ราคาถูกแพงจากนี้นิดหน่อย ที่นากาโนมีหลายร้าน แวะร้านนี้เพราะมีให้เลือกหลายแบบดี
โซบะ นากาโน
และที่พลาดไม่ได้ก็คือโซบะ โซบะของนากาโนขึ้นชื่อด้วย นากาโนเป็นแหล่งปลูกข้าวบัควีทที่ใช้ทำแป้งโซบะที่ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น โซบะมีทั้งร้อนและเย็น มีร้านโซบะหลายทั้งก่อนเข้าวัด และสองข้างทางเดิน เราแวะเติมพลังด้วยโซบะร้อนๆก่อนเดินเที่ยววัดต่อ

พริกป่น นากาโน
ของฝากที่ขึ้นชื่ออีกอย่างของนากาโน่คือ พริกป่น โดยเฉพาะพริกป่นของร้าน Yawataya Isogoro มีขายอยู่หลายร้านริมทางเข้าวัด เห็นเอามาทำเป็นรส KitKat วางขายในเมืองด้วย เลยลองซื้อพริกป่นมาติดกระเป๋าพกไว้กินข้าวแก้เลี่ยน ช่วยได้หลายมื้อเหมือนกัน


ตะเกียบคีบนักชอป
สิงห์








ก่อนเดินเข้าโบสถ์ มีอ่างเผาธูปขนาดใหญ่ปั้นเป็นรูปสิงห์ เห็นคนวักควันเข้ามาหาตัว ก็เดาได้เลยว่าต้องเป็นศิริมงคลแน่ เลยจัดการพาแฝดน้อยเข้าไปวักควันธูปเข้าตัวตลบอบอวนกันไป

วิหารวัด
วิหารหลักของวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ มี Highlight หลายอย่างภายใน การเข้าไปไหว้พระภายในต้องเสียเงินค่าตั๋วอีก วัดนี้มีเครื่องขายตั๋วเหมือนซื้อตั๋วรถไฟฟ้าเลย คนละ 500Y
High Light ของวัดคือ ทางเดิน Okai-dan ซึ่งเป็นการเดินลงไปใต้ฐานวิหาร ซึ่งมืดมาก ได้ความรู้สึกว่า เมื่อคนตาบอดแล้วต้องเดินไปที่ต่างๆ รู้สึกอย่างไร ครอบครัวเรา จัดไป 2 รอบ เพราะ ความรู้สึกรอบแรกคือ อะไรมันจะมืดขนาดนี้ ความกลัวบังเกิด ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง หม่าม๊า จูงน้องเนย ส่วนป่ะป๊าจูงน้องขนมปัง วิธีการเดินคือต้องคลำทางเดินผ่านกำแพงใต้ถุนไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก เมื่อถึงปลายทางครั้งแรก น้องเนยมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ระหว่างเดิน เงียบสนิทด้วยความกลัว ส่วนน้องขนมปัง ใช้วิธีขจัดความกลัวด้วยการใช้เสียงเป็นเพื่อน คือ พูดตลอดเวลา ก็ขำดี


ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีที่วัด Zenkoji



พอเดินเสร็จรอบแรก ทั้งสองคน ขอรอบสอง ก็เลยขอลองอีกรอบ ขอพระที่ยืนคุมทางลง แกพยักหน้ายิ้มๆให้ลงไปได้ รอบนี้ทุกคนพอรู้แนวแล้ว ก็เดินด้วยความมั่นใจมากขึ้น สนุกดี รู้สึกว่ารอบแรกทำไมมันนานนัก

ข้อคิด ทางธรรมะ ของหนทางนี้คืออะไรเราก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับที่เราคิดเองคือ ชีวิตที่เต็มไปด้วยความมืด หรือ การไม่รู้ว่าต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง การไม่มีความรู้ เหมือนคนกำลังเดินไปในที่มืด มันเป็นเรื่องน่ากลัว และไม่มั่นใจ เกินกว่าความเป็นจริง แต่ถ้าเราเข้าใจ และมั่นใจจากข้อมูล ความรู้ ที่เหมือนเป็นแสงส่องทางแล้วล่ะก็ ชีวิตที่ดำเนินต่อไปก็จะเป็นไปด้วยความมั่นใจ ความกลัวจะลดลง

ลานวัด
เสร็จจากชมวิหารก็ไม่มีอะไรมาก เดินอออกมาดูรอบวัด ด้านหลังมีหอที่เป็นพิพิธภัณฑ์ของทางวัด ส่วนแฝดน้อยสองคนมีความสามารถพิเศษคือหาของเล่นได้ตลอดเวลา แวะนั่งพักรอเล่นหินด้านข้างวัดสักพักก่อนกลับ

Matsumoto Station
เดินทางกลับโดยรถไฟ จาก Nagano – Matsumoto ไปนอนที่เมือง Matsumoto เหมือนเดิมใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง เพื่อ Unpack-Repack กระเป๋า เพื่อเข้าสู่โปรแกรมต่อไป เป็นไปตามแผนคือโรงแรม Matsumoto Tokyu Inn ที่เราเลือกอยู่ใกล้กับสถานีรถบัส และรถไฟมาก สะดวกดีเดินกลับโรงแรมง่าย

คลองริมถนน
หลังจากเก็บของที่โรงแรมก็หาของกิน คืนนี้ ป่ะป๊า ตั้งใจพาไปหาอาหารเย็น ที่เค้าว่าอร่อย จากการทำ Research มาก่อน ก็พากันเดินไปตามทางจากโรงแรม ลัดเลาะไปตามถนนในเมือง ผ่านบ้าน ตึก รอบเมือง รู้สึกได้ว่าเมืองนี้น่ารักดี สวย สงบดี อากาศเย็นกำลังสบายๆ

Dinner at Daily Mart
ว่าแต่เดินไปๆ พักใหญ่ ไม่เห็นถึงร้านซักที ถามไป ถามมา ได้ความว่าหาร้านที่ว่าไม่เจอ ด้วยความหิว เห็นท่าไม่ดีเลยยกเลิกการค้นหา จัดอาหารเย็นวันนี้ ที่ Daily Mart ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ที่มีอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานอยู่มากมาย เมนูเป็น ข้าวหน้าแกงกะหรี่ญี่ปุ่น คัดสึด้ง ส่วนลูกๆ ก็กินเบนโตะ และ ซูชิกันไป ไม่อร่อยเลิศ แต่ก็ถือว่าผ่าน ที่ร้านมีโต๊ะ ช้อนซ่อม กระดาษทิชชู่พร้อม ขาดเหลืออะไร เดินไปหยิบจากชั้นในร้านมาเพิ่มเติมได้เลย

ฝาท่อ @ Matsumoto
จากนั้นก็เดินเล่นชมเมือง Matsumoto อากาศกำลังเย็นเริ่มหนาวแล้ว ทำให้เดินสบาย เดินชมนกชมไม้ไปตามเรื่องจนเกือบถึงโรงแรม


7&i Holding อยู่ในห้าง Ario ตึกเดียวกับสถานีรถบัส

ระหว่างเดินกลับพบแหล่ง Shopping ที่ถูกใจ คือเป็น 7& i Holding Mall ที่ใหญ่มาก อยู่ในตึก Ario ที่อยู่ติดกับโรงแรม Tokyu Inn เลย แค่ส่วนของเครื่องสำอางค์ รวมๆแล้ว ทั้งถูก ทั้งแพง รวมกันอยู่ ทั้ง Floor ชั้นแรก ซื้อมาประเดิมก่อน พวก สบู่ล้างหน้า Hair Spa เป็นต้น เบาะๆ จ่ายไป หมื่นกว่าๆ (เยน) ฮ่า ฮ่า Shop กันจนหมดเวลาช้อป ห้างปิดกันทีเดียว ส่วนขนมปัง เนย เมื่ออิ่มแล้วก็วิ่งเล่นกันระหว่างรอ ขณะที่คุณแม่กำลังช้อปปิ้ง


ทุกครั้งที่มาญี่ปุ่น เราจะใช้บริการส่งกระเป๋าใบใหญ่ไปรอที่เมืองจุดหมายเป็นระยะๆ แล้วจะเดินทางด้วย Carry on luggage ใบเล็กๆ ที่ทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น พรุ่งนี้จะเป็นครั้งแรกของทริปนี้ ที่จะส่งกระเป๋าไปรอก่อน แล้วค่อยไปเจอกันอีก 3 วันข้างหน้า ใช้บริการ Yamato ที่เป็นสัญลักษณ์ แมวดำ อยู่บนพื้นเหลือง หาใช้บริการได้ทั่วไป ทั้งที่โรงแรม หรือ Family Mart จัดเตรียมกระเป๋าเสร็จก็นอนเอาแรง เพื่อไปลุยต่อวันพรุ่งนี้

การเดินทาง

JR Nagano - วัด Zenkoji
รถเมล์ที่จอดด้านหน้าสถานี เลือก For Zenkoji Temple ป้ายเบอร์ 1
Price: 100Y
บนรถเมล์ไปวัด Zenkoji

Nagano - Matsumoto
รถไฟ JR
Price: 1110Y ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง


อาหาร

ร้านโซบะ ริมทางเดิน ทางเข้าวัด อยู่ต้นๆจากปากทางประตู Nimon ด้านซ้ายมือ มีหลายร้าน
Price: 750 - 1000Y

ทางเข้าร้าน

เมนู

ตั๋วค่าชม

ค่าชมภายในวิหารวัด Zenkoji
Price: 500Y

ที่พัก

Matsumoto Tokyu Inn
Price: 9800Y

Photo Blog

Sunday, September 29, 2013

** Japan 2013 ** Day 2 : ตอนที่ 1 Trekking โหด ที่ Kiso Valley

วิวจากห้องนอน Matsumoto Tokyu Inn

Matsumoto Station

วันนี้ตื่นกันแต่เช้า ทั้งๆที่กว่าจะนอนก็เที่ยงคืนกว่าๆเมื่อคืนนี้ เดี๋ยวไม่ทันเที่ยวรถไฟ
เช็คเอ้าตอนเช้าพร้อมฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรม

ออกจาก Matsumoto ตรงเข้าเขต จังหวัด Nagano เพื่อไปที่ Kiso valley เป้าหมายคือการเดิน Trekking ตามเส้นทางที่เรียกว่า Nakasendo Trail เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เค้าว่าเป็นเส้นทางการเดินทางโบราณ ผ่านเมืองเก่า เหมือนเป็นเส้นทางการเดินตาม Track ของคนสมัยโบราณ

ช่างภาพ ทำงานตลอดเวลา
ถึงแล้วป้ายรถเมล์ที่ Tsumago

ทางเข้าเมือง Tsumago
ปกติก่อนมาทริปเนี่ย ก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดของทริปเท่าไหร่ พาไปไหนก็ไป บอกให้ตื่น ก็ ตื่น เดิน ก็ เดิน ก็เลยไม่รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไรบ้าง ไปถึง Tsumago ก็ตื่นเต้นเพราะเป็นเมืองเก่า น่ารัก อยู่บนเนินเขา มีนาข้าวกำลังออกรวงสุก เป็นสีทองอยู่ข้างหน้า สวยดีจริงๆ


เมือง Tsumago
Kiso valley เป็นพื้นที่ต่อเนื่องในหุบเขาในเขตจังหวัดนากาโน มีเมืองที่นิยมไปเที่ยวคือเมือง Magome และเมือง Tsumago ทั้งสองเมืองอยู่บนเส้นทางการคมนาคม เส้นทางการค้า ระหว่าง เมืองหลวงเก่า คือ Edo หรือ Tokyo ในปัจจุบัน และ เมือง Kyoto

เมืองเก่าที่อยู่ในพื้นที่นี้มีอยู่หลายจุดเรียกว่า Post town เมือง Tsumago และ Magome ก็เป็นเมืองในเส้นทางนี้เช่นกัน อีกเมืองที่ถูกอนุรักษ์และมีคนนิยมเดินทางไปคือเมือง Narai


ในเมือง Tsumago มีที่นั่งพักตามทางเดินตลอด
สภาพภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี เมือง Tsumago เป็นเมืองใหญ่สุดใน 3 เมืองที่คนนิยมเดินทางไป บ้านเรือนเป็นบ้านไม้สไตร์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมตั้งอยู่ 2 ฝากถนนคนเดินที่ผ่ากลางเมือง เสาไฟฟ้าและเสาทีวีในเมืองหายไปหมด ดูแล้วได้บรรยากาศแบบโบราณจริง

ของฝาก งานไม้
โซบะร้อนๆ ก่อนเดินทางไกล
ป่ะป๊าบอกว่าหาอะไรกินให้อิ่มในเมืองน้อยนี้เลยนะเพราะว่าเดินยาววววเลย รู้แค่นั้น ก็เลยเดินหาร้านโซบะ กิน ตามโพยบอกว่าร้านนี้อร่อย ก็สนุกสนาน ทั้งสองแฝด ขนมปัง เนย กินโซบะกันอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมเดินทางไกลลล....

ทางโรยกรวดขึ้นเนินเขา
เส้นทางเชื่อมระหว่างเมือง Tsumago และ Magome เรียกว่า Nakasendo Trail เป็นเส้นทางโบราณที่สร้างสมัย Edo บางช่วงเป็นเส้นทางโรยกรวดหินเลาะไปตามเนินเขา

บางช่วงเดินเลาะริมถนน






















บางช่วงลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน สะพาน บางช่วงต้องเดินบนขอบถนนที่มีรถใช้วิ่งในปัจจุบัน บางช่วงเป็นเส้นทางเดินโบราณที่ใช้กันมาแต่ก่อน

ทางไป Magome ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ
ช่วงแรกๆ ของ 2-3 กม. แรก ขนมปัง วิ่งขึ้นเนินเล่นกับ น้องเนย แล้วหกล้มกลิ้งจากเนิน เป็นแผลเปิด พร้อมเลือดออกด้วยทั้งมือ และเข่า เล่นเอาหนุ่มน้อยร้องให้เสียงดังเชียว โชคดีมีคนที่ร่วมเดินผ่านมา ส่งพลาสเตอร์ปิดแผลให้ 2 แผ่น พอปิดประทังเลือดกับแผลของน้องปังไปได้ ขอบคุณคนนั้นในจังหวะนั้นจริงๆ หลายคนที่กำลังเดิน Trekking ก็เข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เราจะพบน้ำใจคนได้ตลอดเวลาท่องเที่ยวในทริปนี้
มีคนเดิน Trekking เป็นกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงวัย
พอเริ่มเดิน เห็นป้ายแรกเมื่อเดินมาซักพัก ว่า 6.9 กม. ถึง Magome ก็เอ๋ ใช่มั้ยเนี่ย ถามไปก็บอกว่าใช่ ก็เลยพา 2 คนเดินไปต่อ จะถอยกลับก็เริ่มรู้สึกว่ามาไกลแล้ว

ตลอดทางเดินนั้นถือว่าโหดจริงๆ เพราะทางเดินนี้ เต็มไปด้วยช่วงของการเดินขึ้น เดินขึ้นเขา อย่างเดียวเป็นส่วนใหญ่ คนร่วมทางเดินล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เตรียมความพร้อมเต็มที่ ทั้งชุด และอุปกรณ์ช่วย แบบเดินขึ้นเขาทั้งนั้น

จริงๆแล้ว ปกติเนี่ยเค้าจะเดินจาก Magome ไปที่ Tsumago ระยะทางรวมประมาณซัก 7 กม. ได้ เพราะเดินง่ายกว่าส่วนใหญ่เดินลงเขา มีช่วงขึ้นเขาแค่ราว 2 กม. แต่ว่า....ทริปนี้ของเราเนี่ยเดินย้อนศรเค้า เนื่องจากลงรถไฟที่สถานี Nagiso แล้วพาต่อรถบัสไปที่ Tsumago เดินกลับทิศชาวบ้านส่วนใหญ่เค้า

ป้ายบอกเรื่องราวของเส้นทาง
บางช่วงเป็นเส้นทางเดิมที่เคยใช้กันมาแต่โบราณ บางจุดมีป้ายบอกเล่าเรื่องราวของเส้นทางเหล่านี้ในอดีตที่ผ่านมา ป้ายนี้ปักอยู่ข้างทางปูหินลาดเนินขึ้นทางชัน อ่านดูก็มองเห็นสภาพของการเดินทางสมัยนั้นเลยว่าจะลำบากขนาดไหน


สั่นกระดิ่งกันหมี มีตลอดทาง
ระหว่างเส้นทางบางช่วงที่ผ่านป่า จะมีเสาแขวนกระดิ่งไว้ให้สั่นตลอดทาง ตอนแรกเข้าใจว่าสั่นเพื่อความโชคดีเลยสั่นพร้อมบอกให้ลูกยกมือไหว้ แต่พอเห็นบางเสามีป้ายเขียนไว้เลยถึงบางอ้อว่าเค้าไว้สั่นเพื่อไล่หมีไม่ให้เข้ามาใกล้

เส้นทางปูอิฐ
ขนมปัง เนย บ่นไม่ออกเลยตลอดเส้นทาง มีบางช่วงลูกบ่นเดินไม่ไหว ก็ต้องมีมุขช่วยเดินก้นบ้างแต่ มุขที่ได้ผลจริงๆตลอดเส้นทางเดินนี้ เห็นจะเป็น การนับก้าวเดินกัน 3 คน แม่ ลูก ช่วงที่ขึ้นเขาที่โหดที่สุดจำได้ว่านับกันได้ 700 กว่าเก้า จากตีนเนิน ถึงยอดเนิน โหดเอาเรื่อง สำหรับเด็กน้อยอายุ 6 ขวบกว่าๆ


กังหันวิดน้ำ
เดินไปเรื่อยๆ หลงด้วย ขนาดเค้าทำป้ายบอกทางตลอดระยะทาง ยังเดินหลงไปอีกร่วม 1 กม. ได้ สรุปว่ากว่าจะเดินถึงปลายทางคือ Magome ก็พบว่าทางที่เราเดินนั้นคือทางเดินขึ้นเขา 6 กม. เดินลงเขาอีก 2 กม. แถมหลงเดินขึ้น เดินลงอีกร่วม 1 กม. มาถึงช่วงท้าย สะบักสะบอม หมดแรงกันไปทั้งครอบครัว

น้ำตกระหว่างทาง
ระหว่างทาง จะผ่านน้ำตกขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะนั่งกินข้าวกลางวันหรือนั่งพักเอาแรงได้ น้ำตกมีขนาดไม่ใหญ่มาก จากน้ำตกจะมีทางแยกเดินขึ้นไปขังถนนด้านบน เป็นบันไดที่สูงพอสมควร เมื่อไปถึงยอดก็ต้องเดินเรียบทางถนนต่อไป ช่วงนี้เห็นคนเดินหลงกันหลายคน

แวะกินชา บ้านลุงใจดี
โชคดีที่ช่วงท้ายๆของการเดินตามทางผ่านบ้านตามแบบโบราณ อยู่ 1 หลัง คุณลุงกำลังทำการแช่เย็นน้ำชาด้วยน้ำที่มาจากธรรมชาติ แล้วเชิญชวนให้เราพักก่อนพร้อมเสริฟชาเย็นๆจากการแช่น้ำจากห้วย ไม่ใช่ตู้เย็นแต่สดชื่นเย็นสบายไม่แพ้กัน แถมด้วยมะเขือเทศสดๆแช่เย็นอีก 1 ถ้วย ซัดเรียบพร้อมขอบคุณ คุณลุงคนนั้นที่ให้ที่พักเหนื่อย คนนึงพูดอังกฤษแต่อีกคนพูดญี่ปุ่นก็สื่อสารกันได้

ทางขึ้นเขา
ช่วงที่โหดสุดเป็นช่วงเดินขึ้นเขา ทางเดินเป็นทางโรยทรายลาดยาวขึ้นบนเขาไปเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นหิน หรือ ไม้ไผ่กั้นเป็นแนวทางให้เดิน ช่วงนี้ต้องหามุกมาเล่นกับเนยขนมปังให้เดินต่อไป แต่ดูแล้วคนที่เหนื่อยน่าจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า

ร้านแวะพักริมทาง แต่ตู้กดน้ำไม่ทำงานซะงั้น

ใกล้ความเป็นจริง
เจอ Self-service มันต้ม 100Y อร่อยดี
ทางเข้าเมือง Magome มีดอกไม้ต้อนรับ
วิวจากจุดเมือง Magome
ปลายทางมีจุดชมวิวได้ถ่ายรูปครอบครัวรูปแรกของทริปนี้โดยให้นักท่องเที่ยวคนอื่นช่วยถ่ายให้ วิวสวยก็ทำให้หายเหนื่อยได้เหมือนกัน เบ็ดเสร็จใช้เวลาไปกว่า 5 ชม. ร่วม 6 ชม. (แอบกลับมาเช็คข้อมูล ถ้าเดินถูกทางคือ Magome ไปที่ Tsumago เค้าว่าใช้เวลาแค่ 4 ชม. เอง) เหนื่อยที่สุด และโหดที่สุดเท่าที่เดินเที่ยวญี่ปุ่นมาทุกครั้ง แต่ก็ทำได้ ขนมปัง เนย ก็ทำได้ ต้องขอบคุณรองเท้าใหม่ทั้งแม่ ลูกถอยมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ หม่าม๊าบุ๋มจัดเป็น New Balance ส่วน ขนมปัง เนย ใช้ OshKosh-B’Gosh ใหม่แกะกล่องกันไปเลย เดินได้ไม่ปวดเท้า

ป้ายประกาศโบราณ ทางเข้าเมือง Magome
สังเกตุได้อย่างนึงสำหรับการเดิน Route นี้ คือ ถ้าเดินทางขึ้นเขาแบบที่เราเดินนี่ ส่วนใหญ่คนร่วมเดินจะเป็น นักเดินเขามืออาชีพพร้อมอุปกรณ์ครบครัน หรือไม่ก็หนุ่ม สาว ส่วนคนที่เราเดินสวนทางคือ เดินมาจาก Magome ก็จะเป็น คนแก่ๆ หรือ Family ที่เป็น พ่อ แม่ และเด็กเล็ก (ประมาณของเราแหละ) เมื่อเดินถึงที่หมาย ถึงจะเหนื่อย แต่ก็แอบภูมิใจ ว่าเออแฮะ เราก็ทำได้เนอะ


ทางเดินเข้าเมือง Magome
Magome เป็นเมืองขนาดเล็กกว่า Tsumago เมืองจะตั้งอยู่ตามแนว Slop ของเขา สองข้างทางเป็นบ้านเรือนสไตร์เดียวกับเมือง Tsumago แต่ถนนดูแคบกว่า ดูเมืองทันสมัยมากกว่าหน่อย แล้วเมืองสั้นกว่า มาถึงเมือง Magome ช่วงบ่ายคนเดินกันเต็ม

ปลายทางนี้ น้องขนมปังแวะให้หม่าม๊าซื้อ ไม้เท้าอันนึง บอกว่าจะไปฝากยาย กว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ ก็พบว่ารถออกไปแล้ว 5 นาที ป่ะป๊าหน้าหงิกซะ ทำยังไงดีละ ถ้ารอรถบัสเที่ยวต่อไปก็จะพลาดรถไฟเที่ยวต่อไปอีก 2 ชั่วโมงเลย ตกลงลองลุ้นด้วย Taxi เพื่อให้ทันรถไฟ ที่สถานี Nakatsugawa เพื่อพาเราไปส่งที่หมายต่อไป คือ Shibu Onsen ปรากฎว่า....ไม่ทัน...555 แถมเสียเงินค่า Taxi ไป 3,300 เยน

แต่ก็ยังดีที่มีรถไฟเที่ยวต่อไปอีกชั่วโมงนึง งั้นระหว่างรอไปเดินเที่ยวซื้อขนมชอปปิ้งแล้วกัน เดินดูของที่ร้านค้าหน้าสถานี เจอขนมอร่อยๆ มาให้น้องเนย กลายเป็นของโปรดตลอดทริปไปเลย คือ ขนมที่ทำจากเกาลัดบดๆๆกับมันเทศ อร่อยมาก เรียกว่า Kuri Kinton ไปเจออีกที ที่ Takayama น้องเนยเห็นรีบบอกให้ซื้อให้ทันทีกินตุนแรงก่อนไป Shibu Onsen ต่อ

Omiyage: Kurikinton Autumn Chestnut Confection 栗きんとん
Kuri Kinton

การส่งกระเป๋า Kiso Valley

ในกรณีที่มีกระเป๋าสัมภาระที่ไม่สะดวกในการเดินข้ามเมือง มีบริการส่งกระเป๋าไปมาระหว่างเมือง Magome และ Tsumago ที่จุด Tourist Office (จุด Information ใน Map) โดยต้องส่งกระเป๋าระหว่างเวลา 8.30 – 11.30 และกระเป๋าจะไปถึงอีกเมืองหลังเวลา 13.00 ค่าบริการ 500Y ต่อใบ

การเดินทาง

Matsumoto - Kiso Valley

การเดินทางเริ่มจาก นั่งรถไฟจาก Matsumoto ไปยังเมือง Nagiso Station
ถ้ารถด่วนใช้เวลา 1 ชั่วโมง ราคา 3100Y
รถธรรมดาใช้เวลา 2 ชั่วโมง ราคา 1450Y

ตั๋วไป Nagiso -- เด็กครึ่งราคา
Nagiso Station เล็กๆ

จากสถานีรถไฟเดินออกมาจะเห็นป้ายรถเมล์ ต่อไปยังเมือง Tsumago หรือ Magome
ตามเวลานี้ (http://www.japan-guide.com/bus/kiso.html)
Price: 300Y

ป้ายรถบัส มีเวลาออกรถชัดเจน
รถบัสจากสถานี Nagiso ไป Tsumago

แนะนำให้นั่งรถไฟไปลง Nakatsugawa Station แล้วนั่งรถบัสไปลง Magome แลัวเดินย้อนไปยังเมือง Tsumago จะง่ายกว่าเนื่องจากเป็นทางเดินลงเขา ขากลับนั่งรถบัสจาก Tsumago กลับไปยังสถานี Nagiso Station เมือง Tsumago มีขนาดใหญ่กว่า ร้านค้าเยอะกว่า

อาหาร

ร้าน Shinya --- หน้าร้านไม่มีชื่อภาษาอังกฤษต้องอาศัยสังเกตโลโกเอา โซบะร้อนๆ น้ำซุป เส้นโซบะสไตร์เอกลักษณ์ย่านนากาโน

หน้าร้าน Shinya
โซบะ เพิ่มไข่
Price: 700 - 800Y ต่อชาม
Location: อยู่สุดเมือง Tsumago ก่อนออกไปตามทาง Trekking ไปเมือง Magome
Blog Review: Paul's Blog

ข้อมูลเพิ่มเติม

Kiso Valley in Lonely Planet :
Japan Visitor:
Nakasendo Highway Map: http://www.kiso-magome.com/image2/map/nakasendo-highway.pdf
Kiso Guide Map: http://www.kiso-magome.com/map/mapimages/magome_english_2013.pdf

Photoblog