|
21st Century Museum & Color activity house |
จุดแรกที่แวะเที่ยวคือ 21st Century Museum of Art Museum จุดลงป้ายหมายเลข 9 ของรถ Loop Bus
มาเที่ยวญี่ปุ่นทีไรต้องพาขนมปังกับเนยมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อย่างน้อยที่นึงทุกครั้ง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่รวมงานศิลปทั้งจากศิลปินญี่ปุ่นและทั่วโลก หมุนเวียนมาแสดงให้ชม ด้านนอกจะเป็นการโชว์งานแบบถาวร ส่วนการแสดงงานศิลป์ภายในอาหารจะมีหมุนเวียนไปตลอดปี งานบางชิ้นเสียตังเข้าชม แต่แน่นอนเราเน้นดูของฟรีที่นี่
งานแสดงถาวรชิ้นแรกที่เห็นเด่นชัดคือ Color activity house เป็นแผ่นโปร่งแสงหลากสี ที่สีเปลี่ยนแปลงไปตามการทับซ้อนของสีที่แตกต่างกัน
|
ภายในอาคาร 21st Century Museum |
จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือ การออกแบบอาหารที่เป็นทรงกลม ตัวอาคารสีขาวโปร่งไม่มีผนังและทางเข้าหลัก คือเดินเข้าทางไหนก็ได้ แต่ละทางก็จะไปเป็นโถงทางเดินวงโค้งรอบตัวอาคาร ที่ตรงกลางเป็นโถงกระจกใหญ่ เป็นพื้นที่โปร่งแสดงงานศิลป์ The swimming pool
|
Wrapping |
งานศิลป์ภายนอกมักเป็นที่ถูกใจเของเด็กเช่นชิ้นนี้ชื่อ Wrapping เป็นโครงสร้างท่อทรงเหลี่ยมและตาข่ายเหล็ก ถูกใจเด็กๆในการปีนป่ายวิ่งเข้าออก
|
People's Gallery |
People's Gallery เป็นงานศิลปภาพลายดอกไม้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลายกิโมโน ลายถูกพิมพ์ทั้งบนกำแพงและเก้าอี้ มองตรงไปจะเห็น The man who measures the cloud
|
The swimming pool |
The swimming pool ที่คนนิยมมาชมกัน ด้านบนดูเหมือนสระน้ำ แต่ด้านล่างเป็นช่องว่างคนเดินเข้าไปได้มองขึ้นมาเหมือนอยู่ใต้น้ำ ดูข้างบนฟรี แต่ถ้าลงไปดูข้างล่างเสียตัง 350Y
|
The man who measures the cloud. |
งานชิ้น The man who measures the clound ตั้งอยู่บนยอดอาคาร ศิลปินได้รับแรงบัลดาลใจมาจากหนังที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริงเรื่อง Birdman of Alcatraz ที่กล่าวถึงประวัติของ โรเบิร์ต สเทราด์ ชายที่ถูกขังในห้องขังที่เกาะ Alcatraz
นายสเทราด์ถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต อยู่มาวันนึงก็พบนกบาดเจ็บในเรือนจำ จึงนำมารักษาเลี้ยงดู หลังจากนั้นก็มีนกมาให้ทั้งรักษาและเลี้ยงดูเองเป็นจำนวนมาก นายสเทราด์จึงทำการศึกษาวิจัยโรคของนกจนกระทั่งสามารถแต่งตำราเกี่ยวกับโรคของนกออกมาขายภายนอกได้ ได้รับการยอมรับจากนักวิชากรเป็นอย่างมาก อยู่มาวันนึงนายสเทราด์ถูกย้ายไปคุมขังที่เกาะอัลคาทลาส ซึ่งถูกห้ามไม่ให้เลี้ยงนก อดทำงานวิจัยต่อไปได้ ซึ่งเป็นที่มาของชื่องานปติมากรรมชิ้นนี้ เมื่อมีคนถามแผนการในอนาคต นายสเทราด์ตอบว่า "ผมจะไปวัดก้อนเมฆ"
ด้านข้างที่เป็นต้นไม้ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นการจัดสวนแนวตั้งธรรมดา แต่พอมาอ่านในเว็บของพิพิธภัณฑ์ ถึงรู้ว่าเป็นงานศิลปอีกชิ้น ชื่อว่า Green Bridge เป็นพันธ์ไม้มากกว่า 100 ชนิดในแถบคานาซาวะปลูกบนกำแพงแล้วก็โค้งโอบรอบระเบียงทางเดิน
ความจริงที่พิพิธภัณฑ์นี้มีจุดน่าสนใจคือ จุดขายของที่ระลึก จะเลือกเอาของที่ออกแบบสวยๆ น่าสนใจมาวางขายหลายชิ้น ที่เราใช้เวลาเลือกดูนานที่สุดน่าจะเป็นจุดขาย Origami หรือ กระดาษพับญี่ปุ่น มีทั้งหนังสือคู่มือ วีดีโอ ตัวกระดาษที่ออกแบบมาเป็นรูปสิสาราสัตว์ต่างๆมากมาย แค่เดินดูอย่างเดียวก็เพลิดเพลินแล้ว โงะริงามิถือเป็นงานศิลปะอย่างนึงของญี่ปุ่นเลยทีเดียว เสียดายห้ามถ่ายรูป
|
ด้านนอกตลาด Omicho |
ใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์ราว 2 ชั่วโมงก็เดินทางต่อไปยังตลาด Omicho ป้ายหมายเลข 18 ใช้เวลาเดินทางนานหน่อยสัก 15-20 นาที ช่วงนี้ผ่านเข้าไปในย่านใจกลางเมืองมีห้างร้านเหมือนเมืองใหญ่ทั่วไป
ตลาด Omicho เป็นตลาดสดดั้งเดิมของคานาซาวะ ปัจจุบันมีการปรับปรุงจนดูเหมือนตลาดสดทั่วไป ตลาด Omicho มักเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมาแวะชิมอาหารสด เช่น ซูชิ หรือ อาหารทะเล
|
ด้านในตลาด Omicho |
ภายในตลาดก็สะอาดน่าเดิน ตัวตลาดมีขนาดไม่ใหญ่นัก ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของสดพวกอาหารทะเลหลายร้าน ลูกค้าสามารถนั่งทานหรือยืนทานที่ร้านได้เลย นอกจากอาหารสดแล้วก็มีร้านขายของแห้งเครื่องประกอบอาหาร มีร้านนึงน่าสนใจมากมีสาเกขายทั้งร้าน ใช้เวลาเดินสัก 20 นาทีก็ทั่ว ที่ตลาดนี้เราแวะซื้อเอ็นหอย ไว้ใส่หุงปนไปกับข้าว อร่อยดี
|
นั่งรถไป Shirakawago |
จากตลาดก็นั่งรถ Loop Bus ต่อไปเพื่อมาลงสถานีปลายทาง คือ สถานี Kanasawa นั่นเอง จัดการไปเอากระเป๋าออกจาก Locker ที่ฝากไว้ก่อนออกไปเที่ยวกันเมื่อเช้า จัดการซื้อตั๋วรถบัส ไปยัง Shirakawago ที่หมายถัดไปกัน ก่อนจากเมืองก็ได้ชื่นชมความงามของสถานีนี้อีกรอบนึง ที่สถานีรถยังมีการตบแต่งที่สวยงาม ก็ขอยืนยันคำกล่าวขวัญถึงว่าสถานีรถไฟ ของเมืองนี้เป็นที่ที่สวยงาน ดังว่าจริงๆ
|
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
ระยะทางระหว่างเมือง Kanasawa – Shirakawago นั้นก็อยู่ประมาณ 1 ชม.กว่าๆ ก็ถึงที่หมู่บ้านชาวนา กว่าจะถึงก็เลยไป 5 โมงกว่าไปแล้ว พอไปถึงก็เห็นถึงความน่าอยู่ของหมู่บ้านนี้ทีเดียว เป็นหมู่บ้านชาวนาโบราณ ที่เก็บรักษารูปแบบเดิมไว้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบ้าน วิธีการสร้างบ้านและมุงหลังคา แถมยังคงมีชาวบ้านที่ยังยึดอาชีพชาวนาอยู่อีกด้วย
|
ทางเข้าหมู่บ้าน |
เมื่อมาถึงที่หมายของวันคือ Shirakawago ที่ยอดนิยมอีกที่หนึ่งของนักท่องเที่ยว เป็นหมู่บ้านโบราณที่อนุรักษ์บ้านสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาก
ความนิยมดูง่ายๆจากจำนวนภาษาของแผนที่หมู่บ้านที่แจกจ่ายแก่นักท่องเที่ยว นับๆ ไปคร่าวๆ น่าจะร่วม 10 ภาษา รวมภาษาไทยด้วย นักท่องเที่ยวเลือกกันไปตามชอบ แต่ในที่สุดเราก็พบว่าภาษาที่ดีที่สุดที่ควรถือติดมือคือ ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาอังกฤษ เพราะ ตามสถานที่ต่างๆนั้น ป้ายร้าน 100% เป็นภาษาญี่ปุ่น และ อาจจะมีภาษาอังกฤษเพิ่มมาให้อีก 1 ภาษา เพราะฉะนั้นถึงมีภาษาอื่นไว้ แต่เวลาหาที่หมายไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องถ้าไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น
|
สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ Shokawa เข้าหมู่บ้าน วันไร้คน |
คืนนี้ ป่ะป๊า จัดให้พวกเรานอนกันที่บ้านชาวนา ขนานแท้ ว่ากันไปแล้ว จุดกำเนิดของทริปนี้ ที่เริ่มวางแผน เริ่มจากการเห็นภาพของบ้านชาวนาแห่งนี้นี่แหละ ที่อยากมาที่สุด จนเกิดเป็นเส้นทางเที่ยวญี่ปุ่นของเราในปีนี้
เรามาถึงตอนเย็นวันพุธ เป็นวันธรรมดาที่คนมาเที่ยวไม่ค่อยเยอะ แล้วการเดินทางมาที่หมู่บ้านนี้ต้องใช้รถบัสเท่านั้น รถบัสที่มาส่งเราที่หมู่บ้านก็เป็นคันสุดท้ายของวัน เมื่อรถบัสที่แวะส่งคนลงก็จะมุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Takayama ที่เราจะไปพรุ่งนี้ เมื่อรถคันสุดท้ายออกไปเมืองก็เงียบไร้ผู้คน สะพานแขวนข้ามแม่น้ำ Shokawa ที่ปกติจะพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวก็ปราศจากผู้คน สามารถถ่ายรูปได้โดยไม่มีผู้คนมาบดบัง
|
หลังคา Gassho |
หมู่บ้านที่เรามาพักชื่อ Ogimachi ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ Shirakawago
ชื่อเสียงของหมู่บ้านเกิดขึ้นมาจากบ้านชาวนาที่เรียกว่า Gassho-zukuri ซึ่งแปลว่า "สร้างเหมือนพนมมือสวด" หลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าหรือฟางข้าวแห้ง ที่ถักซ้อนกันแน่นหนาโดยไม่ใช้ตะปูเลย ความหนาไม่ต่ำกว่า 1 เมตร ทำมุมสูงชัน ด้วยพื้นที่นี้เป็นหุบเขาที่มีหิมะตกหนักทำหิมะไหลตกลงมาไม่ท้อนซับบนหลังคา
|
ทางเดินไปที่พัก |
หลังจากเดินเล่นในหมู่บ้านที่ร้างปราศจากนักท่องเที่ยวและผู้คนสักพัก เราก็เดินมุ่งหน้าหาที่พักของเราคืนนี้กัน
|
Shimizu |
จากสะพานข้ามแม่น้ำเข้าหมู่บ้านใช้เวลาเดินสัก 20 นาทีก็มาถึงเรียวกัง บ้านชาวนาที่เรามาพักชื่อว่า Shimizu เป็นบ้านสไตร์ Gassho-zukuri เป็นบ้านชาวนาที่อยู่ปลายสุดของหมู่บ้าน ที่สามารถเดินไปได้ จากสถานีที่ลงรถทัวร์ ลักษณะเป็นบ้านของชาวนาที่เปิดห้องพักด้านล่าง 2 ห้อง เป็นที่พักแขก ส่วนด้านบนเป็นที่พักของเจ้าของบ้าน บ้านนี้เปิดให้แขกพักได้ครั้งละไม่เกิน 2 ครอบครัว หรือ ครอบครัวหนึ่งไม่เกิน 4 คน เท่านั้น
|
พื้นที่กินข้าวแบบบ้านๆ |
เนื่องจากห้องพักเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ มาก มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ รวม แยกต่างหาก มีบริการอาหารเย็น และอาหารเช้า พร้อมกับที่พัก ฝีมือเจ้าของบ้าน หรือ ผู้ดูแลที่พัก เป็นผู้หญิง 1 คน และผู้ชาย 1 คน ที่เราคิดว่าเค้าเป็นสามี ภรรยากัน ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ไม่ได้ถามเค้าซะด้วย
โถงกลางบ้านเป็นที่นั่งกินข้าว กลางบ้านเป็นหลุมทราย ทำไว้เป็นเตาทั้งสำหรับต้มน้ำ หรือย่างอาหาร เรียก irori ความร้อนจะลอยสูงขึ้นด้านบนทำให้ตัวบ้านอบอุ่นไปด้วยในตัว
|
ประตูห้องนอน |
พอดีห้องที่เราได้พักอยู่ฝั่งทางด้านที่เปิดประตูด้านข้างออกไปก็เจอกับ นา เขา และเสียงน้ำจากภูเขา ที่ไหลลงมาตามรางเสียงดังจ๊อกๆๆๆ ตลอดเวลา ถือเป็นบรรยากาศที่ Perfect สุดๆ เลยทีเดียว อากาศก็จัดว่าค่อนข้างดี เย็นจัดเกือบๆหนาว แต่ก็ยังพอสบายๆ ไปถึงที่พักยังไม่ใช่เวลาอาหาร พวกเราเลยพากันไปเดินเล่นๆ รอบๆบ้านและบริเวณใกล้คียง
บริเวณบ้านมีบ้านอีกเพียง 1-2 หลังที่ใกล้กัน ทำให้ไม่มีคนพลุกพล่านเรียกว่าไม่เห็นคนเลยดีกว่า รอบๆเป็นที่นา แปลงเพาะปลูกพืชผักของชาวบ้านแถวนั้น
|
พ่อครัวเตรียมอาหาร |
ระว่างเดินกลับบ้านเพื่อไปกินอาหารเย็นที่บ้าน ก็ได้กลิ่นอาหารของเราโชยมาจากบ้านพัก แถมเห็นผู้ชาย ที่คาดว่าเป็นสามีบ้านชาวนา ออกมาเพื่อมาถอนต้นหอมที่ปลูกไว้ข้างๆบ้าน เพื่อไปใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหารเย็นมื้อนี้ให้เรา ก็ยิ่งรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้คงอร่อย สด แน่ๆ
|
Dinner |
รออีกไม่นาน เจ้าของบ้านก็เชิญเรามาทานอาหารเย็น อาหารมื้อนี้ มีทั้ง เนื้อวัวแสนนุ่ม ซุปผักสไตล์ญี่ปุ่น หมูสามชั้นตุ๋นกับผัก สลัด และปลาที่เป็น Side dish ส่วนที่ขาดไม่ได้คือข้าวญี่ปุ่นนุ่ม ร้อน หอมซะ อยากกินเท่าไหร่ก็ได้กินได้ไม่อั้น ส่วนของขนมปัง-เนย เป็น ข้าวสวย ผงโรยข้าว หมูชุบแป้งขนมปังทอด และซุปผัก ปรากฎว่า อร่อยจริงๆดังคาด จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง อิ่มอร่อย กันไป ส่วนปะป๊าดูเหมือนขาดอะไรไปอย่าง เลยลองเดินไปเปิดตู้เย็น ปรากฏว่าแจ็คพอต ตู้เย็นอัดแน่นไปด้วย Asahi เลยจัดการอุดหนุนชาวนาสักหน่อย
|
มิตรระหว่างเดินทาง |
วันนี้ที่เราพัก เพื่อนข้างห้องของเราเป็น สามี-ภรรยา ลุงเอียนกับป้าแมรี่ ชาว Canada ที่มาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และท่องเที่ยวไปในหลายๆที่ สามีเป็นสถาปนิก ก็เลยมีเพื่อนคุยกันสนุกไป ป้าแมรี่มีของที่ระลึกมาฝากแฝดทั้งสองคนด้วยเป็นเข็มกลัดรูปธงชาติแคนาดา เป็นอีกไมตรีที่เราได้พบระหว่างการเดินทางในทริปนี้ ความรู้สึกที่ได้พักที่นี่ เหมือนไปพักบ้านญาติ ยังไงยังงั้น ที่นอนก็เป็นแบบเรียวกัง คือเป็นฟูกปูกับพื้น เป็นลายๆ ไม่ใช่สีขาวเหมือนตามเรียวกังอื่นๆ ได้บรรยากาศบ้านๆ เพิ่มไปอีก
|
วิวจากห้องนอน ก่อนมืด |
ก่อนนอน เปิดประตูเลื่อนก็จะเห็นภูเขาและทุ่งนา ออกมานั่งจิบสาเกตรงชานหน้าห้องนอน พร้อมฟังเสียงน้ำลำธารเล็กๆไหล ด้านนอก อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนกลับเข้านอนด้วยความสุขอีกวัน
ที่พัก
Shimizuinn จองที่พักผ่านเว็บ ส่ง e-mail ไปติดต่อเจ้าของโดยตรง อาจต้องจองล่วงหน้านานหน่อย
http://www.shimizuinn.com/
Price: 8,400Y ต่อหัว รวมอาหารเช้าและเย็น
|
Shimizuinn |
|
หลังบ้าน |
การเดินทาง
Kanazawa -- Shirakawago
รถบัส Nohi จุดขายตั๋วตรงตึกติดกับ JR Kanazawa station จุดขึ้นก็อยู่หน้าสถานีรถไฟ
ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงกว่า
Price: 1800Y
|
ตั๋ว |
|
Niho Bus |
ข้อมูลเพิ่มเติม
Map of Higashi Chaya:
http://www.eyeon.jp/experience/higashi_chayagai.html
Shirakawago Map:
http://www.shirakawa-go.gr.jp/othercontents/file/pdf/map_english.pdf
ที่พักใน Shirakawago:
http://www.japaneseguesthouses.com/db/shirakawago/index.htm
ตอนต่อไป
** Japan 2013 ** Day 6 : ตอน 1 เที่ยวรอบหมู่บ้านชาวนา
|
Shirakawago |
ตอนเดิม
** Japan 2013 ** Day 5 : ตอน 1 เที่ยว Kanazawa ชม Higashi Chaya & เที่ยว Kenrokuen สวน 1 ใน 3 สวนสวยที่สุดในญี่ปุ่น
Photoblog
Bunnan's Photoblog@Kanazawa
No comments:
Post a Comment